วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปาย...ปาย กับ นายชินจัง @ Shiwadoi (Part II)



หลังจากเกือบจะหมดวันแรกไปกับการเมาขี้ตาแล้ว เราขี่มอเตอร์ไซด์มาที่ตลาดครับ คึกคักดีจริงๆ ร้านตั้งเต็มไปหมด แต่ไม่สกปรกนะ อากาศเย็นมาก 15 องศาได้มั้ง ตอนขี่รถออกมานี่ต้องใส่ถุงมือ ไม่งั้นไอ้นั่นต้องแข็งแน่ๆ ครับ เอ่อ...นิ้วมือนะครับนิ้วมือ ไม่ใช่อย่างอื่น ผมจอดรถที่บริเวณใกล้กับ สี่แยกปายหนาว แล้วเดินเข้าถนนคนเดินครับ มีร้านเยอะแยะไปหมด ขายอาหาร ของที่ระลึก เครื่องดื่ม ไวน์ผลไม้ ขายโปสการ์ด คึกคักสนุกสนานดี บรรยากาศที่นี่น่ารักครับ เหมือนทั้งเมืองร่วมมือกันจัดสไตล์เดียวกัน มิน่า เค้าถึงเรียกที่นี่เป็นเมืองแห่งความโรแมนติค ความน่ารัก ก็มันน่ารักจริงๆ นะ

เดินหาร้านกินข้าวกันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะเข้าร้านไหนดี ไปเจอร้านนึง บอกว่าเป็นหมูจุ่ม ก็เลยเอาซะหน่อย ก็มันหนาวอ่ะนะ ทุกอย่าง 19 บาท ถูกดีแฮะ เราสั่งเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ ผักรวม แล้วก็ข้าวผัดกุ้งมากินกันครับ อากาศหนาวๆ ได้กินน้ำซุปร้อนๆ โอ้ว สุขโข สุขโข (แอบล้อเลียนนามสกุลคนบางคน อิอิ) หลังจากอิ่มแล้วเราก็ไปเดินเล่นกันต่อครับ มีเสื้อที่เป็นสัญลักษณ์ของปาย มากมายหลายแบบ หมวกไหมพรม ผ้าพันคอ ราคาไม่แพงเลยครับที่นี่ อ่อ...เสื้อตัวละ 139บาท ผมซื้อมา 1 ตัว แล้วก็กางเกงผ้าป่าน 1 ตัว 100 บาท เสื้อเด็กมาให้หลานอีก 1 ตัวราคา 99 บาทครับ



แวะกิน โรตีอาลี ครับเห็นคนเข้าคิวรอซื้อ เลยเอากะเขาด้วย โฮะๆๆ อร่อยดี แต่ผมกินนิดเดียวเพราะไม่ชอบกินหวานเป็นทุนเดิมครับ เราซื้อ บาร์คาดี้ เดินเล่นไปดื่มไป เจอ นักดนตรี เล่นดนตรี มีคุณตำรวจ มาเล่นกีตาร์ร้องเพลงแจมกะเค้าด้วย น่ารักดีครับ เราเดินดูทัวร์ที่จะไปเที่ยวพรุ่งนี้ด้วย ผมตัดสินใจซื้อ short trip ครับแค่ช่วงเช้า ตี5 ไปห้วยน้ำดัง ไปสะพานประวัติศาสร์ บ่อน้ำร้อน คอฟฟี่อินเลิฟ เสียค่าใช้จ่ายคนละ 200 บาทเท่านั้นครับ ผมว่าถูกนะ เหอะๆๆ จากนั้นเราก็กลับที่พักเข้านอนกันเพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า และผม...เกลียด...การ...ตื่น...เช้า

ตี 4 ครึ่ง คนขับรถนำเที่ยวก็โทรมาบอกว่าอีก 15 นาทีจะถึงหน้ารีสอร์ท พวกผมก็ขึ้นรถแล้วออกเดินทางไปรับผู้โดยสารคนอื่นๆ กันอีกสองที่ใกล้ๆ กันครับ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ อุทยานห้วยน้ำดัง วิ้วววววววววววววว ทะเลหมอกๆ เกิดมายังไม่เคยเห็นกะเค้าเล๊ยยย วันนี้แหละ จะได้เห็นด้วยตาตี่ๆ อันดูดีของเราแล้ววววว







พอไปถึงเป็นเวลาประมาณ 6 โมงครับ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดี เราก็เฝ้ารอครับ คนเยอะแยะ มารอดูเหมือนกันกับเรา หนาวมากๆครับ ตอนนี้ผมต้องใส่หมวกไหมพรม ถุงมือ เสื้อโค้ช โอยขนาดนี้ยังสั่นเลยครับพี่น้องพูดกันนี่ ฟันออกปาก เอ้ย ควันออกปากเลย ประทับใจ T T พระอาทิตย์ขึ้นเรามองเห็นทะเลหมอก สวยจริงๆ มิน่าคนมากมายถึงยอม เหวี่ยงกันเกือบพันโค้ง เพื่อมาดูช่วงเวลาแบบนี้ มันประทับใจจริงๆ ผมรู้สึกคุ้มที่ได้มาครับ พระอาทิตย์ ทะเลหมอก สวนดอกไม้ อากาศหนาว พร้อมเครื่องดื่มอุ่นๆ มันสุดยอดจริงๆ ครับ

หลังจากชมทะเลหมอก ห้วยน้ำดังกันเสร็จแล้ว เราเดินทางต่อไป บ่อน้ำพุร้อน ไม่ไกลจากห้วยน้ำดังนัก ผมว่ามันเจ๋งนะ ที่ที่อากาศหนาวเย็น กลับมีน้ำร้อนธรรมชาติ แบบนี้ พอเราเดินเข้าไป ก็ไมไอน้ำอยู่ทั่วไป ดูแล้วน่าจะลงไปแช่น้ำจริงๆ ครับ น้ำอุ่นดี แถมใส มากๆ ด้วย แต่เราไม่มีเวลามากนัก เลยเดินชมรอบ ๆ เอามือ เอาเท้าจุ่มน้ำกันนิดหน่อย ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ แล้วเราก็มาขึ้นรถ เพื่อเดินทางต่อไปที่ สะพานประวัติศาสตร์ กันครับ

ไม่นานนักเราก็มาถึงสะพานประวัติศาสตร์ สมัยสงครามโลก เดินเล่นถ่ายรูป มีชาวบ้านขายของริมทางกันนิดหน่อย อากาศยังเย็นอยู่ ควันยังออกปากกันอยู่เลยครับ เดินเล่นถ่ายรูปกันจนพอใจ เราก็ขึ้นรถเพื่อไปต่อกันที่ คอฟฟี่อินเลิฟ ที่ผมได้ยินมานานว่า ต้องไปให้ได้ ถ้าไปปาย

ที่คอฟฟี่อินเลิฟ แม่เจ้าผู้คนหลายร้อยคน เฮโลกันถ่ายรูป อร๊างงง เข้าไม่ถึงตัวอักษรที่เป็นที่นิยมถ่ายรูป ผมเหลือบไปเห็นตู้โทรศัพท์สีแดงน่ารัก ๆ อยู่อันนึง ไม่มีคน เราเลยไปถ่ายรูปตรงตู้นั้นกันครับ ถ่ายไปสองสามภาพ คุณพระ ผู้คนตามมาถ่ายกันเต็มไปหมด แอรายก๊านนนนนน....มากันทำม๊ายย เราต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาที่ตัวอักษรใหญ่เบิ้มเพื่อรอคิวถ่ายรูปกันบ้าง กว่าจะได้ถ่าย และกว่าจะถ่ายได้เล่นเอาเหนื่อยกันเลย ผมได้ love มาคำเดียว T T เห้อ...คนเยอะ แต่ก็นะ ต้องเข้าใจ มันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วนี่ คนไทยด้วยกันทั้งนั้น :) พวกผมเลยเข้าไปเดินเล่นถ่ายรูปด้านใน ยังคงมองเห็นกลุ่มหมอกหนาเตอะที่บริเวณภูเขา ด้านหลัง สวยดีครับ

ที่นี่เป็นที่สุดท้ายของทริปสั้นๆ ตอนเช้าของเรา กลับไปถึง ชีวาดอย ประมาณ 11 โมง ยังทันได้กินอาหารเช้า พี่หอย รีบเรียกแม่บ้านมาเสิรฟ ข้าวต้ม ขนมปังปิ้งให้เรา ส่วนเครื่องดื่มมี ชา กาแฟ น้ำส้ม น้ำเปล่า แต่ต้องไปตักเองนะครับ พี่หอยก็ใจดีครับมาคุยทักทายกับเราว่าไปไหนมาบ้างเป็นยังไง อาหารพอไหม ถ้าไม่พอบอกได้ หลังจากเรากินอิ่มกันแล้ว เราคิดว่าเราจะพักกันสักพัก แล้วออกไปขี่รถไปวัดไหว้พระ และไปเที่ยวเล่นใกล้ๆ กันดีกว่า แต่ปรากฎว่า เผลอหลับกันจนบ่าย รีบวิ่งออกไปเช็คเอาท์ เพราะเราต้องย้ายไปห้องแบบแสตนด์ดาร์ดกันวันนี้ พี่หอยทักว่า "เอ่อ แหมมาพักผ่อนกันจริงๆ เลยนะครับ" มีความหมายลึกๆ ว่า "เมิงมากันทำมาย" 555 พี่เค้าไม่ได้ว่าอะไรที่เราเช็คเอาท์ช้า ออกแนวขำๆ เรามากกว่า พวกผมย้ายห้องกันเรียบร้อยก็ออกไปเที่ยวเล่นกันต่อครับ


ผมขี่รถไปน้ำตก หมอแปง ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่ไม่ต้องเดินเข้าไปลึก กว่าจะถึงน้ำตกหลงทางไปสองที ถามทางกับคุณป้าที่เดินอยู่ระหว่างทางคนนึง ว่า "อ่าขอโทษนะครับ น้ำตกหมอแปง ไปทางไหนครับ" ป้าแกหันมาตอบว่า "โอ๊ะ เลยมาและ ต้อย้อนก่าไป แล้วเลี้ย ซ้าย น๊าา" พร้อมกับยิ้มหวานๆ พูดไม่ชัด แต่น่ารักครับใจดีจัง ผมเห็นคุณป้าอีกคนด้านหลังกำลังซักผ้าอยู่ลิมทางจากน้ำที่ทะลักออกมาจากสายยางขนาดใหญ่ คิดในใจว่า เลยมาแล้วเหรอ น้ำนี่น่าจะสูบมาใช้จากน้ำตกแหงๆ เลย สูบขึ้นที่สูงกว่าเหรอ แปลกดี พวกผมขี่รถกันไปเล่นกันไปหัวเราะกันลั่นป่า ไม่รู้จะฮากันไปไหน แต่เราก็ยังหาทางไปน้ำตกไม่เจอ เลยแวะถามคุณลุงที่ทำสวนอยู่แถวนั้น แกบอกว่าให้ย้อนกลับไปทางเดิมเมื่อกี้ ยังไม่ถึงสักหน่อย อ่าวกำ...ตกลง ป้าแกสับขาหลอกผม หรือ แกคุยกะผมไม่รู้เรื่องเนี่ย 555 ขี่รถย้อนกลับไปหัวเราะกันไป





พอไปถึงน้ำตก ก็รู้สึกเย็น ขึ้นเลย เราซื้อไก่ย่างกับขนมนิดหน่อยไปนั่งกินกันครับ บริเวณน้ำตกมีคนเล่นน้ำอยู่นิดหน่อย บางคนเอาเบียร์มานั่งกิน แช่มันในน้ำนี่แหละครับ เหมือนแช่ตู้เย็น น้ำค่อนข้างน้อย แต่อากาศเย็นมากๆ หนาวเลยก็ว่าได้ นั่งกินกัน มีน้องหมา มาทำหน้าน่าสงสารขออาหารตัวนึง มองหน้ามัน เออวะ หมายังหน้าแนวกะเหรียงเลย 555 หน้ามันซื่อๆ ฮาๆ น่ะครับ แบ่งมันกินนิดหน่อย พวกผมก็ถ่ายรูปกันก่อนจะขี่รถกลับเพื่อไปวัดไหว้พระกันสักหน่อย

พวกเราไปไหว้พระที่วัดศรีดอนชัย มีพระพุทธสิหิงค์ (พระสิงห์ปาย) ในตัวเมืองปายนี่แหละครับ พอไปถึง พระท่านก็ให้ พระมาแล้วก็ให้รูปพระกับเรา บอกเราว่าทำบุญกันตามศรัทธา พระท่านจะรีบไปงาน แถว ๆ นี้ ต้องไปงานศพ หรืออะไรสักอย่าง พวกผมเลยทำบุญ ระฆังที่จะแขวนรอบอุโบสถ ไปครับ ถ้าใครไป แวะทำบุญที่วัดนี้ก็ดีนะครับ :) กำลังจะสร้างโบสก์ กันด้วยครับ

ออกจากวัดเราก็กลับไปที่รีสอร์ท เพื่อเก็บของ อาบน้ำ แล้วออกไปเที่ยวที่ตลาดกันใหม่ วันนี้คิดว่าจะไปกินข้าวที่ร้าน บ้านปาย เพราะคนขับรถนำเที่ยวแนะนำเรามาครับ ร้านบ้านปายอยู่ในตลาดคนเดินตรงข้ามกับธนาคารออมสิน มีอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารพื้นเมือง เราสั่ง ต้มยำกุ้ง(อันนี้ไปไหนก็สั่ง ผมชอบ) ผัดผักรวมมิตร ยำวุ้นเส้นหมูสับ ข้าวเปล่า และน้ำฝรั่งกับ แป๊ปซี่ กินกัน รสชาติดีครับ อร่อยดี บรรยากาศในร้านก็สบายๆ มีลูกค้าทั้งไทยทั้งฝรั่ง

จากนั้นเดินเล่นซื้อของฝาก ไปเจอร้านปริ๊นท์รูปถ่ายจากกล้องของเราให้เป็น Postcard ด้วยครับ เลยเอาสักหน่อย แผ่นละ 35 บาท 3 แผ่น 100 บาทครับ พอเราเดินเล่นกันจนพอใจแล้ว ก็กลับที่พัก เพื่อพักผ่อน กะว่าจะนอนให้สบายสักหน่อย แต่ว่า...ไอ้ห้องข้างๆ ครับ พี่น้อง ห้องข้างๆ มันคุยกันเสียงดังมากครับ ผู้หญิง 3 คนครับ โอ้วแม่เจ้า เม้าท์กันอย่างกับแม่คุณไม่เจอกันมา 3 ชาติ ไอ่นั่นกิ๊กใคร ไอ่นี่จีบใคร คุณเธอเม้าท์กันสนั่น ผมได้ยินเสียงชัดเจนขนาดว่า รู้ว่าพรุ่งนี้พวกคุณเธอทั้งหลายต้องตื่น 7 โมง เม้าท์กันตั้งแต่ 5 ทุ่มยัน ตี 1 เศษแล้ว ผมฟังเรื่องชีวิตครอบครัว การงาน ความรัก จนรู้ไปถึง เม็ดติ่งใน ตือโต๋ว ก็แล้ว...เธอก็ยังไม่หยุดเม้าท์กันครับ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดซะด้วย

ในที่สุดผมก็เริ่มโมโห คนจะนอนโว้ย เม้าท์ห่านไรสามชั่วโมงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เกิดมาไม่เคยได้เปิดปากพูดรึไง ทำงานก็ที่เดียวกันเมิงไม่เคยคุยกันเลยเหรอครับพี่น้อง คิดดูถ้ามันคุยกันไม่ดังจริงๆ จะรู้ห่านอะไรขนาดนี้ มันจะทนไม่ไหวแล้ว...และผมก็เลยพูดเสียงดังๆ ว่า "นอนกันซะทีเถอะครับ" เวลาตอนนั้นประมาณ ตี 2 แล้ว เจ๊ตตะม่อน กิน โทรโข่ง กันมาเหรอไงฟะ - -" พอผมพูดเสียงดัง พวกเธอหยุดพูดกัน 2 วิ แล้ว...แล้วแม่งก็คุยกันต่อ บระเจ้า ไอ่เม็ดติ่ง ไม่รู้จะด่าอะไรแล้ว แม่งงงงงงงงง ผมพยายามทำใจเย็นอดทนต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงได้มั้ง และพวกเธอยังคงเม้าท์กันต่อไป ผมเลยไปเคาะประตูเลยครับ ไม่ไหวแล้ว ไปเคาะประตูปั๊ป เสียงในห้องเค้าเงียบ...ผมเคาะอีก เสียงตอบกลับมาว่า "มีอะไร" ผมเลยตอบว่า "ช่วยลดเสียงคุยหน่อยได้มั้ยครับ ดังมากนอนไม่หลับครับ" เงียบ....ไม่มีเสียงตอบรับ แม่โทรโข่งทั้ง 3 ยังแอบคุยกันต่อแต่เสียงเบาลง แล้วผมก็หลับไป

แล้ว...7 โมง นาฬิกาพวก แม่โทรโข่งก็ดัง เสียงกรี๊ดกร๊าด ระหว่างแม่คุณทั้งหลายเตรียมตัวก็ดังขึ้น อารายก๊านนนน แสดดดดดดด ไม่รู้จะด่าอะไร อยากจะเอาข้าวขาหมู ไปยัดปาก ให้เงียบๆ กันไป ว่ะหะหะ ในที่สุดก็ไปๆ สักที พอไปพวกผมเลยได้นอนต่อกันอีกนิดหน่อย แล้วก็ตื่นสายกันอีกครั้ง 555 ตื่นมาเก็บของเช็คเอาท์ พี่หอยหัวเราะ บอกว่า "แหม...พักกันเต็มที่แล้วใช่มั้ยครับ" พร้อมรอยยิ้ม แม่งเอาอีกแล้วกูมาเพื่อนอนจริงๆ 555

ปาย...ปาย กับ นายชินจัง @ Shiwadoi (Part I)


สวัสดีคร๊าบบบบ ไปแรดมาอีกแล้วครับพี่น้อง คราวนี้ อาจหาญไปปาย ครั้งแรกในชีวิต ยังไม่เคยไปสักครั้ง ได้ยินชื่อเสียงมานาน ได้ฤกษ์ไปกับเค้าสักทีครับ ด้วยความที่รู้น้อยเรื่องทางเหนือมากๆ เพราะปกติมักเลือกไปแรดทางน้ำซะส่วนใหญ่ คราวนี้เลยต้องขอความรู้จากเพื่อนผู้มีประสบการณ์ เค้าแนะนำ รีสอร์ทที่ชื่อ ชีวาดอย (Shiwadoi) มาครับ ผมก็ตกลงตามนั้น

และแล้วก็ถึงวันเดินทาง วันที่ 11/12/09 เวลา 3 ทุ่มตรงครับ เดินทางโดยรถโดยสารของ นครชัยแอร์ เป็นครั้งแรกเหมือนกันครับที่ขึ้นรถแบบนี้ ประสบการณ์ใหม่ล้วนๆ กระผมประเดิมด้วยการลื่นล้ม กลิ้งโคโล่ในห้องน้ำที่ นครชัยแอร์ก่อนเลย โฮะๆๆ ต้องเปลี่ยน กุงเกง และ บ๊อกเซอร์ยกชุดเพราะเลอะเทอะไปหมด ไม่ใช่ความผิดใครนอกจากความน่ารัก(มั้ง)ของผมเอง เจ็บก้น ว่ะหะหะหะ

ขึ้นรถแล้วเราก็ตื่นเต้นทันทีครับ โอ้วแม่เจ้า คนขับรถแนะนำตัวอย่างสุภาพ พร้อมปฎิญาณตนจะพาผู้โดยสารทุกคนไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและตรงเวลา น่ารักดีครับ ทำไมคนขับรถเมล์ที่ไล่บี้คนในกรุงไม่ปฎิญาณบ้างน๊า เช่น...วันนี้กระผมจะไม่ขับรถบี้คนไส้แตกนะครับ อะไรแบบนั้น อิอิอิ เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ พอรถของเราล้อหมุน พนักงานดูแลก็เริ่มกันเลยครับ แต่งตัวเหมือน แอร์โฮสเตส เลยทีเดียว น่ารักๆ เดินมาแจกเครื่องดื่มครับ เริ่มต้นด้วย เลย์และน้ำผลไม้ สักพักประมาณไม่ถึง 10 นาที เธอก็กลับมา คราวนี้แจกข้าวกล่อง กับน้ำเปล่า 1 ขวด แล้วสักพัก...เธอก็กลับมา ให้ผู้โดยสารทิ้งขยะต่างๆ ลงถุงดำ กินกันอิ่มเลยครับ

เบาะของนครชัยแอร์ มีระบบ นวด ด้วยครับ เปิดเล่นกันสนุกสนาน เบาะเป็นระบบไฟฟ้า เอนตามสบายครับ มีผ้าห่มพร้อม ลำโพงฝังอยู่ในเบาะเลย สบายดีครับ ห้องน้ำบนรถก็สะอาดดี ตื่นมาก็ถึงเชียงใหม่ เป็นเวลา 6 โมงเช้าได้ครับ พนักงานดูแลก็กลับมาแจก ผ้าเย็นพร้อม แลกตาซอย อีกคนละกล่อง โอย แจกเยอะจริง รถจอดที่สถานีรถเวลา 6.30 พอดี ตรงเวลาจริงๆ ครับ อากาศหนาวมากตอนเช้าแบบนี้ ค่าโดยสารคนละ 605 บาทครับ



พอลงจากรถ เราถูกฝูงปิรันย่า เอ้ย คนขับรถรับจ้างเข้ามา มะรุมมะตุ้ม เสนอนั่นนี่โน่น โอยฟังไม่ทัน แต่คุณเพื่อนบังเกิดเกล้าของผมสั่งไว้ว่า..."ปายเลยเมิง ถึงสถานี เมิงนั่งรถตู้ไปปาย ไม่ต้องกระแดะนั่งรถอย่างอื่น" เสียงมันดังก้องในหัว โฮะๆๆ เราก็ไปจองรถตู้เพื่อเดินทางต่อไปยัง ปาย เค้าบอกว่าใช้เวลา 3 ชั่วโมง ระหว่างรอรถออกผมไปที่ร้าน DD Coffee กินไมโลร้อนๆ สักแก้วเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองซะหน่อย ตอนนี้ผมเริ่มใส่เสื้อโค้ดกันหนาวและปิดถึงคอแล้ว หุหุ ไม่คุ้นเคยกะอากาศหนาวเลยจริงๆ

พอได้เวลาผมก็มาขึ้นรถตู้ครับ ได้นั่งข้างหลัง เหวี่ยงกัน 3 ชั่วโมงเต็ม เดินลงจากรถที่จุดพักรถที อยากจะเต้น แทงโก้ ให้มันรู้แล้วรู้แรด โค้งเยอะมากๆ ครับ พอถึงจุดพักรถ ผู้โดยสาร ก็แห่กันไปแย่งกันเข้าห้องน้ำบ้าง ซื้อของกินบ้าง อ่อ อย่ารีบซื้อผ้าพันคอหรือของอะไรที่นั่นนะครับมีคนหลงผิด ซื้อผ้าพันคอ 80 บาท ไปเจอที่ปาย 4 ผืน 100 อิอิอิ แทบจะยืนร้องไห้หน้าร้านกันเลย 5555 ที่จุดพักรถมีผลไม้ขายครับ สดดี หมอกลงให้หนาวกันบะระฮั่ม แล้วเราก็ขึ้นรถไปเหวี่ยงกันต่อครับ และแล้ว....หลังจากผ่าน 3 ชั่วโมงสุดโหด เราก็มาถึง ปาย.........อร๊างงงงงงงง ไม่เคยมาเลย ไกลขนาดนี้ 762 โค้ง มาถึงเมืองในฝันจนได้ อิอิอิ



ลงจากรถปั๊ปกระผมก็แจ้นเข้าร้าน aya ไปเช่า มอเตอร์ไซด์ ตามคำสั่งคุณเพื่อนนะครับ วันละ 140 บาท + ประกัน รถหายและรถล้ม 80 บาท Aya ไม่ได้อ่านว่า อายะ หรือ อะยะ ผมได้ยินคนเรียกว่า อ๊ะหยา เหอะๆๆ น่ารักดีแฮะ ว่าแล้วก็หิวเลยหาอะไรกินแถว ๆ ตลาดซะเลย ด้วยความที่ไม่รู้อะไรเลย ก็เลยหาแบบมั่วๆ ผมกินข้าวแกงไม่เก่ง อาหารเหนือก็กินไม่เป็น แต่กระแดะอยากไป

ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าร้านแมวชมภู ที่มีอาหารแบบกลางๆ มีติ่มซำ และ ไข่กระทะ ไม่รู้จักหรอกครับ ไข่กระทะ แต่เห็นหน้าตาน่าจะกินได้ เลยลองดูสักหน่อย ผมสั่งไข่กระทะ กะ ข้าวซี่โครงหมูอบ กินกัน ไข่กระทะมีขนมปังกับเนยมาให้ด้วยครับ อร่อยดีเก็บภาพอาหารมาฝากกันนิดหน่อย ร้านนี้อยู่ตรงหัวมุมสี่แยก ปายหนาว พอดีครับ ที่แยกมีป้าย "สถานที่ถ่ายทำ ปาย อิน เลิฟ" ตั้งไว้ เบ้อเร่อเลย คนถ่ายรูปกันคึกคัก เต็มไปหมด



หลังจากอิ่มกันแล้ว ผมก็เดินทางไป รีสอร์ท ชีวาดอย พอมาถึงเจ้าของก็ทักทายอย่างเป็นมิตรครับ ชื่อ พี่หอย พี่เค้าบอกว่า แขกยังไม่เช็คเอ๊าท์เลย ตอนนั้นประมาณ 11 โมงเศษๆ แล้ว พวกผมก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเดินเที่ยวที่ตลาดสักพักจะกลับมาใหม่ พี่เค้าก็บอกว่าโอเคครับ แล้วเราก็กลับไปที่ตลาดอีกครั้ง เดินเล่นถ่ายรูปกัน แต่เนื่องจากเหนื่อยกะการเหวี่ยงบนรถมายาวนานตั้งแต่เมื่อคืน เลยอยากพักผ่อนกันมากๆ ครับ เรากลับเข้ามารีสอร์ทประมาณ บ่ายโมงเศษ ปรากฎว่า แขกเพิ่งจะออกจากห้อง พี่เค้าก็ขอโทดเราแล้วบอกว่า ขอเวลาทำความสะอาดก่อนให้เรานั่งรอก่อน พวกผมเลยหลับกันที่ โซฟารับแขกเลยครับโฮะๆ (แขกที่พักก่อนหน้าเรามันช้าจริงๆ แหละ ขนาดเรียงของขึ้นรถนะครับ บ่ายสองมันยังจัดกันไม่เสร็จ ผมไม่แปลกใจเลยที่เช็คเอาท์ช้า โฮะๆๆ)


หลังจากพนักงานทำความสะอาดเสร็จ พี่หอยก็ช่วยเรายกของเข้าห้องพัก คืนแรกเราจองห้องแบบ Family ไว้ครับ สวยดี มีโซฟานุ่ม ๆ แอร์ (เราใช้เกือบจะเป็นฮีตเตอร์แทน) เตียงนอนขนาดใหญ่และเตียงเล็ก ทีวี ตู้เย็น มินิบาร์ เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องต้มน้ำ ไดร์เป่าผม ถือว่าเครื่องอำนวยความสะดวกครบเลย ห้องน้ำก็ทำน่ารักดีครับ เป็นประตูแบบบานสวิงสองบานเล็กๆ อยู่ลึกลงไปอีกระดับนึงของห้องพัก มีผ้าขนหนูสะอาดๆ พร้อมผ้าเช็ดผม แชมพู สบู่เหลว และสบู่ก้อนเล็กไว้ให้เรียบร้อย พวกผมหลับเป็นตายกันจนถึงหนึ่งทุ่มเลยถึงจะฟื้น เหอะๆ ตื่นมา งงๆ ชิหายละ ยังไม่ได้ลากตูดตัวเองไปเที่ยวไหนเล๊ยยยย ออกมาจากห้องพัก พี่หอยทักเราว่า "เอ่อ พักผ่อนกันเต็มที่เลยนะครับ" เรารู้สึกเหมือนกับพี่เค้าจะแซวว่า "เอ่อ เมิงมากันทำไมครับ" 5555

ตื่นมาสร่างอาการเมาขี้ตา เราก็หิวกันมากมายครับ เลยขี่มอเตอร์ไซด์ ไปตะลุยตลาดกัน ติดตามตอนหน้านะครับ

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กลับมาเยือน บ้านเฉลียงลม ณ เกาะล้านอีกครั้ง ที่บ้านไม้ขาว

จาก ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากเราออกเดินทางจาก พัทยา ข้ามมาเกาะล้าน ไปประสบพบเจอรีสอร์ทบริการห่วย เราก็จัดการย้ายตูดของพวกเราไปพักพิงที่ บ้านเฉลียงลม คุณสอง ผู้ดูแลบ้านเฉลียงลมมารับเราที่ท่าเรือ พาเรา 5 คนไปที่บ้านเฉลียงลม คราวนี้ผมได้พักที่บ้านไม้ขาวครับ ราคาที่พัก อยู่ที่ 2000 บาทครับ 2 ห้อง บวกกะ Extra 1 คน 200 บาท เป็นทั้งหมด 2200 บาทต่อคืน (เพิ่มจากเดิม 200 บาทได้ห้องอย่างดี 2 ห้อง) หุหุหุ


พอมาถึงที่พักก็ชื่นนนนนนนนนจาย ครับ อิอิ สวยดี บ้านหลังนี้มีสองห้อง ห้องหนึ่งสีชมพู อีกห้องสีฟ้า สีสันของห้องสดใสน่ารักดีครับ จัดไว้สวยเลยแล้วก็สะอาดมากครับ มีเครื่องทำน้ำอุ่น, ทีวี, ตู้เย็น, อ่างล้างจาน, มินิบาร์, ตู้เสื้อผ้า, เตียงสุดนุ่ม, โซฟาพักผ่อน, โต๊ะนั่งเล่นหน้าห้อง, แอร์, พัดลม ครบเลยครับ

มาดูห้องสีฟ้ากันก่อนเลยดีฝ่า (เพราะผมนอนห้องนี้ อิอิ) ห้องสีฟ้า ตกแต่งสวยครับใช้โทนฟ้าขาว ผมชอบ พอพวกผมเข้ามาถึงในห้องแทบอยากจะกระโดดลังกาเกลียวสามรอบครึ่งใส่เตียงนอนครับ น่านอนมากๆ แต่ว่า...ต้องถ่ายรูปก่อนๆ อดใจไว้พ่อหนุ่ม โฮะๆๆ


ส่วนห้องสีชมพู สีหวานสุดๆ เลยครับ สาว ๆ มาคงชอบน่าดู แล้วผมก็ชอบดู เอ้ย!! ไม่ใช่ๆ ชอบน่าดูเหมือนกัน มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบเหมือนห้องสีฟ้าล่ะครับ พวกผมเลยถ่ายรูปกันสนุกสนาน ผมขออนุญาตคุณสองไปถ่ายรูปตามห้องที่ว่างแล้ว คุณสองก็บอกว่าตามสบาย โอ้วเราวิ่งเข้านอกออกในกันให้ บะระฮึ่ม กันเลยทีเดียว หลังจากถ่ายรูปเสร็จ พวกเราก็ พักผ่อนกันตามลำบาก...อ่า ไม่ใช่ๆ ตามสบาย สักพักเราก็ ขี่มอเตอร์ไซด์ ไปเที่ยวหาดกันครับ ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์ 2 คัน 500 บาทครับ ใช้ได้จนถึงเรากลับ(พวกผมพักวันเดียวนะ)


ขี่รถตากแดดกันให้ดำเมี่ยมกันไป ไปถึงหาดเราก็แวะพักผ่อน ถ่ายรูปกัน พอมีรถก็ซ่าส์ล่ะครับ ไปมันทุกหาด(ที่ไปไหว) เรียกว่าขี่รถกันจนหน้าป้านกันเลยทีเดียว พอตกเย็นเราก็กลับมาที่พักเตรียมตัวไปกินข้าวเย็นกันที่ริมหาด ของบ้านเฉลียงลมครับ คราวที่แล้วมา ที่นั่งริมหาดยังไม่เยอะเท่าไหร่ มาคราวนี้เค้าปรับปรุงทำเพิ่มขึ้นมาอีกเพียบเลย ถึงจะยังไม่เสร็จดีแต่ว่าบรรยากาศดีมากๆ ครับ

เราสั่ง ปลาหมึกย่างกับกุ้งเผาอย่างละกิโล ราคาประมาณ 500 บาท(เนื่องจากดอง blog นานเลยจำไม่ค่อยได้ ความจำผมสั้น แต่ไอ้นั่นผมยาวนะ...ความรักน่ะ) เหล้าปั่น รส แอ๊ปเปิ้ล 2 เหยือก, สตอเบอร์รี่ 1 เหยือก เหยือกละ 120 บาท สั่งต้มยำทะเล ข้าวผัดทะเล กรรเชียงปู แต่ว่า อาหารไม่ได้ถ่ายรูปมา มีรูปแค่ กุ้งกะ ปลาหมึก เพราะนอกนั้น มัวแต่กิน ลืมถ่าย -"- ก็มันหิวนี่หว่า

หลังจากสวาปามกันเต็มคราบ ผมก็งัดไอ้นั่นขึ้นมาเล่น ว่ะหะหะหะ หยุด!! อย่าคิดลึก ผมหมายถึง ไฟเย็นกับพลุไฟน่ะครับ โฮะๆๆ เปิดช่องให้หน่อยล่ะ คิดลึกเลย(ผมนี่แหละคิด) พวกเรานั่งเล่นกันจนดึก จากนั้นก็เข้าที่พักเพื่อพักผ่อนกันครับ อ่อคืนนั้นฝนตกด้วย บรรยากาศโรวออนส์ เอ้ยโรแมนซ์ มากๆ ขอบอกๆ


ตื่นขึ้นมา พวกผมก็ถ่ายรูปกันอีกนั่นแหละครับ ขี่รถไปหาดอีกสองหาด คึกคักดี ฝรั่งเพียบเลย หลังจากนั้นเราก็กลับเข้าที่พักเพื่อเก็บของเตรียมกลับกัน กว่าจะจัดของกันเสร็จเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว ได้คุยกับคุณป้าที่ดูแลที่นั่นนิดหน่อย แกเล่าให้ฟังว่า ต่อเติมกันอีกยาวล่ะครับ แล้วบอกเราว่าตอนนี้คนจองกันเยอะ ห้องไม่พอรองรับ คุณสองบอกว่า ช่วงปีใหม่ที่นี่ก็ไม่ได้ขึ้นราคาอะไร แต่จองให้ทันละกันนะครับเหอๆๆ คุณสองไปส่งพวกผมที่ท่าเรือ ระหว่างทางมีแกล้งกันนิดหน่อย พี่แกแกล้งขับแบบชิดริมขอบทางท่าเรือแบบจวนเจียนจะลงไป สวิมมิ่งกันในน้ำ เรียกเสียง กรี๊ดกร๊าด จากสองสาวผู้ร่วมทางกับเราได้ไม่น้อย ส่วนผมน่ะเหรอ หุหุ ไม่ร้องสักแอะ(แต่มือน่ะเกร็งชิหาย นึกว่าจะร่วงแล้ว) อิอิอิ


ข้ามเรือกลับมาฝั่งพัทยา ด้วยความประทับใจ ในตัวคุณสอง ชายแท้ ล่ำๆ เห้ย...ไม่ใช่ๆ ประทับใจบ้านเฉลียงลม กับการต้อนรับอบอุ่นของเค้า ผมตั้งใจว่าจะกลับไปลองพักให้ครบทุกๆ ห้องเลย ว่ะหะหะหะ ถึงท่าเรือฝั่งพัทยา เราแวะซื้อไอติมมะพร้าว กับวุ้นมะพร้าว กินกัน อร่อยมากครับ คราวที่แล้วก็ซื้อกิน คราวนี้ก็ตั้งใจว่าจะต้องกินอีกให้ได้ ถ่ายรูปมาอวดกันนิดหน่อย ถ้ามีโอกาสไปลองชิมดูนะครับ อร่อยมากฟันเฟิร์ม

สรุปรวมค่าใช้จ่าย:
ค่าที่พัก 4000 บาท
ค่าน้ำมันรถ 1500 บาท (รวมค่ามอเตอร์ไซด์)
ค่าอาหาร 3000 บาท (โดยประมาณ สำหรับ 3วัน 2คืน)
ไม่รวมกระแดะเที่ยวกลางคืนอีก 1800 บาท
หาร 5 คน ตกคนละ 2000 บาท

ดูรูปเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.flickr.com/photos/shin69