วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวกระบี่ในฤดูฝน!!! (มันก็สวยดีนะ) Part II

DSC_0268
เช้าวันที่ 2 เรากินอาหารเช้า ประกอบด้วย แฮมไก่ ออมเล็ต ไส้กรอก ขนมปัง น้ำส้ม, ข้าวต้มทะเล จากนั้นเราก็ขับรถเข้าไปยังตัวเมืองเพื่อไปอ่าวนางแล้วหาทางไปแรดตามเกาะต่างๆ กัน อร๊างงงงงงง แต่ว่า...เนื่องจากคุ้นเค๊ย คุ้นเคยกับกระบี่ เราก็หลงทางกันนิดหน่อย กว่าจะถึงอ่าวนาง ฝนก็ เทลงมา ๆ ๆ ... ตกหนักมากจนเราคิดว่า แห้วแน่ๆ วันนี้ ไม่สามารถขับรถต่อไปได้เพราะทางมองไม่เห็นหนักอย่างกะพายุ เราเลยตัดสินใจจอดรถ แล้วเข้าไปหลบในร้าน ซเวนสัน...กินไอติมกัน ไม่ใช่ ๆ ร้าน ซเวนเซ่น เพื่อกินไอติม รอดูฟ้าฝนว่าจะเปิดทางให้เราไหม เมื่อเราเข้าไป เราพบว่า เรา...ฉลาดมากกกกกกก แม่งฝนตก หนาวตายห่า เสือกหลบในร้านไอติม แล้วกินไอติมนั่งสั่นกัน - -" อารมณ์นั้น..ถามตัวเอง นี่กรูเข้ามาทำด๋อยอะไรในนี้ฟะ???

ในที่สุดหลังจากกินไอติมเสร็จฝนก็หยุด วะ วะ วะว้าวววววววววววววววว ทำบุญมาด้วยอะไร อิอิ เรารีบขึ้นรถแล้วขับย้อนไปนิดหน่อย เราก็เห็นป้อมที่เขียนว่าติดต่อเรือทัวร์เกาะ เราก็รีบไปติดต่อกันเลยครับ ตกลงเราได้ แพ็คเกจเรือหางยาว เหมาลำ ไป 5 เกาะ ในราคา 2000 บาท แล้วเราก็เช่า สน็อคเกิล 4 ชุด ราคารวม 200 บาทแล้วไปลงเรือกันเลย :D ออกเรือจากหาดนพรัตน์ธารา ด้วยรอยยิ้ม แฉ่ง ของพวกเรา มุ่งหน้า ไปลุยกันเลยยยยยยยย





ไปถึง ถ้ำพระนาง พวกเราก็ไหว้พระ กันนิดหน่อย แต่ไม่ได้เล่นน้ำกันมากนัก เราเดินเล่นกันประมาณ 15-20 นาที ก็ออกเรือไปยังเกาะต่อไป ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเกาะปอดะนะครับ ที่นี่สวยใช้ได้เลย แต่ว่า!!! ฝน!! ไล่มาอึมครึมเลยทีเดียว เราเล่นน้ำกันนิดหน่อยก็ไปยังเกาะต่อไปกันต่อ เราตัดสินใจไม่เล่นน้ำกันที่นี่นานนัก เพราะอยากไปดำน้ำดูประการังกันมากกว่า แล้วเราก็ต้องรีบกลับรีสอร์ทให้ทันขึ้นรถตู้ไปเที่ยวรอบกลางคืนด้วยสิ พอมาถึงบริเวณใกล้ๆ เกาะไก่ เราก็ลงน้ำเพื่อดูประการังกัน ปลาเยอะมากเลยครับ เราดำน้ำแล้วถือแผ่นขนมปังไว้ในมือ ปลาเป็นร้อยๆ ขึ้นมารุมรอบตัวพวกเราโอ้โห....แอบกลัวมือหายไปกะฝูงปลาเหมือนกัน อิอิ กลัวมันตอดเพลิน 555 มีปลาแปลกๆ เยอะแยะเลยครับ แต่เราก็คอยระวังไม่ไปใกล้เกินไป เพราะพวกผมกลัว หอยเม่น ตำเอาน่ะครับ เราอยู่ที่นี่นานพอสมควรเลย

หลังจากดำน้ำดูประการังกันซะปลาเบื่อขี้หน้าพวกผมแล้ว เราก็เดินทางไปทะเลแหวกกันต่อ อร๊างงงงง ที่ในฝัน มาคราวที่แล้วประทับใจมาก อยากกลับไปอีก พอไปถึง จิตใจห่อเหี่ยวลงนิดหน่อยครับ เนื่องจากเป็นฤดูฝน ทำให้ สันทรายไม่สวยเท่าคราวที่แล้ว แต่ก็ดีใจที่ได้กลับมาอีก เราเดินเล่น ถ่ายรูป สนุกสนานครับ ทุกคนเริ่มเพลีย กับการว่ายน้ำกันแล้ว พอได้เวลาเราก็กลับกันเลย (แหม่ก็คิวมันแน่นนี่ครับ นานๆ พวกผมจะไปแรดไกลๆ กันก็ต้องเบียดคิวกันอย่างนี้แหละฮะ)

กลับถึงฝั่งกันอย่างปลอดภัย พวกเรา โค ตะ ระ เพลีย กันแล้วตอนนี้ รีบบึ่งรถกลับโรงแรม พร้อมกับโทรไปบอกทางโรงแรมว่าเรากำลังรีบไปอาจจะช้าหน่อย ทางโรงแรมตอบว่าเค้าจะรอ วะวะวะว้าวววว พระเจ้า T T อยากกระโดดจูบพนักงานสัก 8 ที แต่เค้าดันเป็นผู้ชาย ผมกลัวผิดผีน่ะครับ เลยมิกล้า กว่าจะถึงโรงแรม ปาเข้าไป ห้าโมงกว่า...- -" โคตรช้า คนหลายคนมองเรา แบ่บ...แสดดดดดด เมิงทำห่านไรกันช้านักหนา พวกเรารีบขึ้นรถแล้วนั่งเจี๋ยมเจี้ยมกันไปจนถึงในเมือง อีกครั้ง เสื้อผ้า หน้าผม ห่านมากๆ ครับ ไม่ได้เปลี่ยนกันเลย อยู่มันตั้งแต่เปียกยันแห้ง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้างแถวๆ นั้น แล้วออกมาเดินกันต่อ เราไปเที่ยวตลาดกลางคืนกันครับ



พวกเราเดินเที่ยวตลาดหาซื้อเสบียงเตรียมกลับไปซัดกันให้ราบที่รีสอร์ท กุ้งอบ กุ้งทอด หอยชักตีน ไก่ไรสักอย่างแดงๆ ของขึ้นชื่อที่นี่ ปลาหมึกย่าง และที่สำคัญ แป๊ปซี่ฝวดดดหย่ายยยยๆ หลังจากกว้านซื้อเสบียงราวกับไม่ได้กินข้าวมา 4 วัน พวกเราก็ขึ้นรถ ด้วยใจที่จดจ่อกะอาหาร แล้ว....แล้ว....คนขับรถก็บอกว่า..อ้าวเดี๋ยวเราไปต่อกันอีกที่นึงนะครับ เดินเที่ยวร้านริมอ่าวนาง จะกลับมารวมกัน 5 ทุ่ม ด้วยเสียงอันแจ่มใสและเป็นมิตร แต่พวกเรา ม่ายยยยยยยย กับข้าวกู๊ว์ว์ว์...T T อีก 2 ชั่วโมงเลยนะเว้ยเห้ยยยยย จะใจดีไปไหน T T พากลับเลยก็ได้ ฮือๆๆ หิวโพดๆ พวกเราลงรถตู้ที่ริมอ่าวนาง แบบคอตก หน้าแทบจะแนบถึงพื้น น้ำตาไหลพราก...ป่าวหรอกล้อเล่น ด้วยหน้าตาอันน่ารักน่าชังของพวกเรา ทำให้เราเป็นคนที่ไม่ค่อยแคร์สายตาใครๆ นัก ...ดังนั้น เรานั่งกินกันข้างทางที่ริมหาดกันเลย มีเก้าอีกม้ายาวรูปโค้งให้เราวางอาหาร แล้วเราก็ใช้พื้นแทนเก้าอี้สุดหรู ซัดสวาปามกันเต็มคราบ อิ่มแปล้ อากาศดี สบายใจ สบายพุง โฮะๆๆ กินเสร็จ ผมก็นอนแผ่บนเก้าอี้ม๊ายาวอีกด้าน ลมเย็นสบาย จนทุกๆ คนกลับมาขึ้นรถ พวกเราก็กลับรีสอร์ท ไปอาบน้ำ แล้วนอนกันอย่างกะคนตาย 5555 โคตรเหนื่อยเลยวันนี้




เช้าวันที่สาม วันนี้เราต้องกลับกันแล้ว หลังจากตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าวเช้าเรียบร้อย เราก็ไปนาบ เอ้ย นวด ไทย กันคนละ 1 ชั่วโมง (มันแถมมาใน Package อิอิ) ขอบคุณ Ensogo อีกครั้ง ว่ะหะหะหะ นวดจนสบายตัวเราก็เก็บของมาจัดเรียงขึ้นที่น้อง ออส ของเพื่อนผมแล้วออกเดินทางไป ไป ไป... ไม่ใช่หรอก จริงๆ แล้วยังไม่ไปไหน เพื่อนผมติดใจร้าน กุลากาสัย มาก เลยขอกินอีกสักครั้งเพราะกว่าจะได้มาคงอีกหลายปี คราวนี้เลยสั่งกันเต็มที่เลยครับ ทอดมันกุ้ง ต้มยำทะเล กุ้งชุปแป้งทอด หอยชักตีน(สุดยอดของโปรดของเพื่อนผมเลย) หลังจากอิ่มกันแล้วก็บรรจงมองนาฬิกา แว๊กกกก บ่าย 2 โอ้ว พระเจ้ายอด มันจอร์จมาก ขับรถ 10 ชั่วโมงนะเว้ยเห้ย แล้วกรูจะได้นอนกี่โม๊งงงงงง T T รีบบึ่งกลับกรุงเทพ กันแบบด๊วน ด่วน เลยทีเดียว

เรากลับถึงบ้านกันประมาณ ตีหนึ่งครับ ปลอดภัยไร้กังวล เปลี่ยนกันขับคนละประมาณ 3 ชั่วโมงกันการหลับใน :)

สรุปทริปนี้นะครับ ค่าเสียหายสำหรับ 4 คน มีดังนี้

ค่าที่พัก 3 วัน 2 คืน 2 ห้อง รถตู้พาเที่ยววันแรก และนวดไทย คนละ 1 ชั่วโมง 7980 บาท
ค่าเรือเที่ยว 5 เกาะพร้อม snockle 2200 บาท
ค่าอาหาร 2500 บาท
ค่าน้ำมันรถ 4 ถัง 4400 บาท
ค่าเข้าสระมรกต 80 บาท
ค่าเข้าน้ำตกร้อน 80 บาท

รวม 17240 ตีไปสัก 18000 บาท เฉลี่ยคนละ 4500 บาท :)

เล่าหมดละ โซดาก็ไม่มีละ ไว้ไปเที่ยวอีกจะเอามา เหลา ให้ฟัง กันใหม่นะครับ ยังไง ไทยเที่ยวไทย ก็ดีที่ซู๊ดดดดด กราบสวัสดี :)

ปล. ไม่รู้ว่าคนที่ไปด้วยกันเข้ามาอ่านบ้างรึป่าว ผมคิดถึงนะ

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวกระบี่ในฤดูฝน!!! (มันก็สวยดีนะ)


สวัสดีครับ ในที่สุดผมก็หาเรื่องมาลัลล้าใน blog อีกจนได้ครับ คราวนี้ ย้ายตูดเนียนๆ ของกระผมไปเที่ยวกระบี่เลยทีเดียว ทริปนี้ไปแบบกึ่งลุยกึ่งหรูครับ เนื่องจากจองห้องพักระดับเลิศได้ในราคาถูก หุหุหุ ต้องขอขอบคุณ ส่วนลดพิเศษ จาก ensogo จริงๆ ทริปนี้จึงบังเกิดได้ในราคาประหยัด

เริ่มกันเลยดีกว่า คณะผมมีทั้งหมด 4 คนครับ เราตกลงกันว่า จะพา น้อง(วี)ออส ของเพื่อนกระผมที่เพิ่งถอยออกมาไม่นานไปตะลุยทางไกลกัน เริ่มออกเดินทางวันพฤหัสเวลาประมาณเที่ยงคืนครับ น้ำมันเต็มถัง แต่พลังงานผมขีดต่ำฮะ ไม่สบาย บวกกะทำงานมาทั้งวันยังไม่ได้พักผ่อนเลย เพื่อนๆ ก็เหมือนกันครับ แต่ทุกคนไม่หวั่น ก็อยากไปนี่หว่า โฮะๆๆๆ เราขับรถมุ่งตรงไปทาง ทางหลวงหมายเลข 4 ครับ จากกรุงเทพฯ - นครปฐม - ราชบุรี - เพชรบุรี - ประจวบฯ คนขับคนแรกก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่ 2 ครับ จาก ประจวบฯ - ชุมพร จนเกือบถึงสุราษฎ์ฯ ช่วงนี้ระยะทางยาวขึ้นกว่าจะข้ามแต่ละจังหวัด จนเปลี่ยนคนที่ 3 ขับจาก ติ่งๆ ชุมพร - สุราษฎ์ กลับไปประจวบฯ จนถึงกรุงเทพฯ!! เห้ยไม่ใช่ ผมล้อเล่น จาก ติ่งๆ ชุมพร - สุราษฎ์ฯ - กระบี่ นั่นแหละครับ อิอิ รวมเวลาประมาณ 10 ชั่วโมงครับ โหด โพด ๆ





เมื่อขับหลงกันในกระบี่นิดหน่อยเราก็มาถึงที่พัก Nantra de Deluxe Hotel ที่ความเป็นส่วนตัวสูงมาก เรียกว่า ถ้าเด็กแว้นท์จะเข้ามาก่อกวน แม่งบ้านต้องมีเครื่องบินแหละครับ อิอิอิ ที่พักถือว่าดีมากๆครับ เงียบ สงบ สะอาด สบาย พนักงานน่ารักมากครับ จริงๆ พวกผมก็รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอินท์ กะว่ามาฝากของแล้วก็ถามรายละเอียดการทัวร์นิดหน่อยเท่านั้น แต่พนักงานรีบจัดการ ยกเครื่องดื่มต้อนรับมาให้พวกเรา พร้อมเชิญเราเข้าห้องพักเปลี่ยนชุดเพื่อจะขึ้นรถ ตู้ของทางโรงแรมไปเที่ยวในเมือง (แพ็คเกจนี้รวมค่าที่พักที่จองไว้แล้วน่ะครับ) พวกเราก็จัดไปอย่าให้เสีย อยากเที่ยวอยู่แล้ว รถตู้ทั้งคัน นั่งกัน 4 คน ไม่มีคนขับ! อ่า..มีสี รวมคนขับเป็น 5 คน ออกเดินทาง!!!!!!!!

เราไปเริ่มที่ สระมรกต กันก่อนเลยครับ เคยมาเมื่อ 3 ปีก่อน อยากกลับมาใจจะขาด ในที่สุด ก็ได้กลับมาดีใจมากๆ พอมาถึง ยังไม่ทันจะเดินผ่านด่านเข้าไป ฝนก็ เทลง มา เทลง มา เท ลง มา.... พวกเราตัดสินใจยืนรอครับ ยังไม่เข้าไป รอประมาณ 20 นาที ฝนก็เบาจนแทบจะหยุด เหลือแค่ละอองฝนนิดหน่อย เราก็เลยได้เวลาลุยกันครับ จ่ายค่าเข้าคนละ 20 บาท ถูกมั่ก มากกกกก แต่ เดี๋ยวก่อน...!! ถ้าคุณเป็นชาวต่างชาติ รับทันทีสิทธิพิเศษ จากราคา 20 บาท จ่ายแค่ 200 บาท ป๊าดดดดด อ่านไม่ผิดหรอกครับ ราคาสำหรับชาวต่างชาติ 200 บาทเห็นๆ ไม่รู้ขนหน้าแข้งต่างสีของพวกเค้า ทำให้ธรรมชาติเราเสียรึป่าว เลยตั้งราคากันแบบนี้ อิอิ แต่ก็เข้าใจครับ เรื่องธรรมดา เราไปเที่ยวบ้านเขา ก็คงคล้ายๆ กัน(มั้ง)



เดินมาถึงสระมรกต ระยะทางจากหน้าด่านประมาณ 800 เมตร เริ่มเมื่อย (หรือผมเริ่มแก่ไม่รู้นะ) มาถึง ก็สูดอากาศเต็มปอด อ๊าาาาห์...ทำไมเหม็นๆ กลิ่นตดเพื่อนผมนั่นเอง 5555 อากาศสดชื่นมากๆ ครับ หายใจโล่งมากเลย ถ้าไม่มีใครมาตดอัดหน้าคุณในตอนนั้น ผมรับรองว่าต้องชื่นใจเหมือนผม อิอิ น้ำยังคงใสสะอาดน่าเล่นเหมือนเดิม ต้นไม้ยังอุดม แต้พานิช ร่มรื่นครับ แตกต่างตรงที่ วันนี้มีคนมาเที่ยวพอสมควร ฝรั่งที่เล่นใกล้ๆ เค้าแบบ อเมซิ่งมากๆ สปีคกันใหญ่ว่า โอ้ว เวรี่ เวรี่ บิวตี้ฟูลลลลลลล แอบภูมิใจเล็ก ๆ อิอิ บ้านมึงไม่มีล่ะซี่ ว่ะหะหะหะ

หลังจากเล่นน้ำกันชุ่มฉ่ำใจแล้ว พวกเราก็รีบขึ้นรถตู้ออกเดินทางไป น้ำตกร้อน หรือ น้ำตกคลองท่อม กันต่อครับ นี่ก็เคยไปมาแล้ว คิดถึ๊งงงง คิดถึง พอไปถึงพวกเราพบรถบัสคันใหญ่อยู่ข้างหน้า คิดในใจ ชิหายละ มีคนมาแย่งที่ จะได้แช่แบบสบายใจไหมเนี่ย แล้วเราก็พบ...กับผู้เข้าแข่งขัน มันมากันเป็นคันรถ T T มาแบบคุณป้าๆ กะหนุ่มสาวโรงงานทั้งนั้น คุยภาษาอีสานกันอย่างเมามันส์ พวกผมรีบเดินกึ่งวิ่งไปตามทางเพื่อให้ได้ไปถึงก่อน แม่เจ้า พวกเค้าแบ่งกองทัพออกเป็นสอง เข้าตีขนาบ สรุปเราไปถึงเกือบจะพร้อมกัน ผมอาศัยว่าเคยมา รีบขึ้นไปจุดที่ดีที่สุดที่มีคนอยู่พอสมควร รีบจองที่ อิอิอิ แต่บรรดาป้า ๆ โรงงานไม่ยอมแพ้ ขึ้นไปต้นน้ำเลยครับ แล้ว แล้ว แล้ว...แช่เท้า...... ไอ่สาดดดดดดดดดดดดดดดด เมิงมีความเกรงใจกันบ้างไหม ตรงนั้นนอกจากพวกผมมีคนแช่น้ำอยู่อีก 5-6 คน มันไปต้นน้ำกัน ถอดรองเท้าผ้าใบ เอาขาแช่ ป๊าดดดดด อยากใส่ เกรียวกระโดด สปาหน้าด้วยฝ่าเท้าสัก 3 รอบ เท่านั้นไม่พอครับ บรรดากลุ่มป้าๆ ที่เหลือตีขนาบข้าง มี ฝรั่ง คู่ หนึ่งมาแช่น้ำ เขาก็ผลัดกัน คนหนึ่งแช่น้ำ คนหนึ่งถ่ายรูป บรรดา เกรียนรุ่นฟอสซิล ก็เอาเลยครับ ไปวักน้ำใส่แกล้งเขาตอนถ่ายรูป อารมรณ์ เกรียนรุ่นป้า แกอยากเล่นด้วย แต่อารมณ์ ฝรั่ง...ผู้หญิงคนนั้น...กลัวครับ เธอทำหน้างง ๆ ยิ้มแบบเจื่อนๆ ไม่เข้าใจว่า ป้าจะเอาอะไรกะกูคะ พวกกลุ่มเกรียนฟอสซิล ก็หัวเราะกันลั่น ยิ่งทำให้ ฝรั่งเสียเซลฟ์เพิ่มขึ้นไปอีก แล้วในกลุ่มเกรียนฟอสซิล ก็มีชายกลางคน หน้าตาหื่นมาก เข้าไปใกล้ๆ ผู้หญิงคนนั้นกลัว ก็เลยรีบขึ้น ไปยืนงงๆ ริมน้ำตกกะแฟนหนุ่ม ดูแล้วยังเด็กทั้งคู่ คิดดูสิครับเค้ายังแช่ไม่อุ่นถึงติ่งหูเลยมั้ง ต้องรีบขึ้น พวกเกรียนฟอสซิล ก็เฮฮาโหวกเหวกกันใหญ่ เพื่อนผมสงสารฝรั่ง เพราะเขาเสียเงินมากกว่าเรา 10 เท่านะครับ ยังไม่ทันได้เล่นเลย เราเลยชวนเขามานั่งกับเราก็ได้ แต่พวกเค้าเหมือนจะไม่มั่นใจว่าจะปลอดภัยรึป่าว เพราะพวกผมก็อยู่ใกล้กับพวกเกรียนฟอสซิล ไม่ก็คงไม่ไว้ใจพวกผมด้วย เขาเลยกลับไป น่าสงสารชะมัดเลย หลังจากแช่ไปได้ประมาณเกือบ 20 นาที สายฝนก็โปรยลงมาอีกครั้ง คราวนี้หนักเลย พวกผมก็เลยตัดสินใจกลับ เพราะกลัวไม่สบาย น้ำก็ร้อน ฝนก็เย็น เหอะๆๆ ไม่เสี่ยงดีกว่า

DSC_0219

DSC_0210 DSC_0212 DSC_0217

พวกเราฝ่าฝนมาถึงรถตู้ พี่คนขับก็น่ารักครับ รีบลงมาเปิดประตู พี่เค้าก็เลยเปียกไปด้วย พวกเราส่งผ้าขนหนูผืนใหม่ให้พี่เค้า พี่เค้าก็บอกแต่ว่าไม่เป็นไร แล้วระหว่างทางกลับโรงแรม พี่คนขับก็แนะนำที่กินที่เที่ยวให้กับเรา พอมาถึงโรงแรม พวกผมก็ไปที่สระน้ำเล่นน้ำกันต่อ จากนั้นพวกเราก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อขับรถไปหาอะไรกินกันครับ พี่คนขับแนะนำร้านชื่อ กุลากาสัย มาครับ ว่าเป็นร้านขึ้นชื่อที่กระบี่ เราก็เลยตั้งใจไปลองกันสักหน่อย พอมาถึงร้านกุลากาสัย เราก็สั่งอาหาร ดังนี้ครับ กุ้งชุบแป้งทอด ปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว กุ้งพล่า และที่สำคัญ... หอยชักตีน ของขึ้นชื่อของกระบี่ ข้าวเปล่าหนึ่งโถ น้ำเปล่าและน้ำแข็ง (อดกินแป๊ปซี่ T T) อาหารอร่อยมากๆ ครับ เพื่อนผมติดใจ หอยชักตีน แต่กินเข้าไปไม่ไหวแล้ว เลยจำใจพอก่อน ถึงเวลา จ่ายค่าเสียหาย ทั้งหมด 650 บาทครับ เรียกว่า พอใจทั้งอาหารทั้งราคาเลยทีเดียว จากนั้นเราก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อน เตรียมลุยออกเกาะกันในวันพรุ่งนี้

พอถึงห้องพัก ผมก็พุ่งไปแลนดิ้งบนเตียงเลยครับ นุ่มสบาย กว้างขวางดีจริงๆ นอนเล่นแป๊ปเดียวหลับไปเลย (จริงๆ ผมไม่ได้หลับทันที ทำกิจกรรมนิดหน่อยครับ ชะชะ อย่าคิดลึก กิจกรรมที่ว่าคือ เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนชุด ดูทีวีนิดหน่อย) วันนี้เหนื่อยจริงๆ ครับ เลยต้องพักเอาแรงไว้ก่อน สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ ครับ

ติดตามตอนต่อไปนะครับ

ปล. ตอนนอนแอบภาวนา ขออย่าให้เจอเกรียนฟอสซิลตอนออกเกาะอีกนะครับ คุณพระคุณเจ้า :)

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รถไฟฟ้ามาหานะเธอว์

เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มีโอกาสได้เดินทางโดยใช้ รถไฟฟ้า เพื่อกลับบ้าน อย่านึกภาพหรู ปกติรถเมล์ครับ อิอิ ล้อเล่นครับ เอาเป็นว่า ได้ไปใช้บริการรถไฟฟ้ากับเค้าบ้างแล้วกัน สิ่งที่ผมได้พบเห็นคือ ในรถไฟฟ้า หรือ รถสาธารณะจะรวมคนทุกประเภทเอาไว้ด้วยกัน แต่พวกที่ได้รับความสนใจจากผมเป็นพิเศษ มีไม่กี่ประเภท ยกเว้น พวกหน้าตาดี หุ่นดี เอ๊กซ์ อึ๋ม ซึ่งอันนั้นสนใจตลอดเวลา ว่ะหะหะหะ

มาดูประเภทแรกกันก่อนเลยดีกว่าครับ

1.พวกผีเฝ้าประตู สัมพเวสีพวกนี้คุณจะพบเค้าได้ตั้งแต่ประตูรถเปิดออกเลยครับ คนพวกนี้ จะยืน ออกันหน้าประตูรถ (ดีกว่า ออหน้ากระได หน่อยนึง อิอิ) ทั้งที่ภายในรถมันว่าง ก็ไม่เข้าไป พอประตูรถเปิดปั๊ป คุณจะสบตากับพวกเค้าเหล่านั้นได้ทันที สายตาพวกเค้าจะเหม่อลอย ประหนึ่งเหมือนคิดในใจว่า "อา...ประตูเปิด.....(นิ่ง...ไม่ขยับเข้าไป) อา....ประตูปิด" ไม่รู้ไม่ชี้ กับสายตาของผมที่ส่งกระแสจิตไปว่า ทำไมมึงไม่ขยับเข้าไป(วะ)ครับ

2. พอเข้าไปสู่ขบวนรถแล้ว คุณจะพบ เสาตรงกลาง และ ราวด้านบนเพื่อให้ผู้โดยสารเกาะยึดไว้ ทีนี้ คุณจะพบกับ "ผี เฝ้า เสา" สัมพเวสีประเภทนี้จะไม่ไปไหนครับ ส่วนใหญ่มือจะถือโทรศัพท์ หรืออะไรสักอย่างประมาณว่ามือกรูไม่ว่าง แล้วยืนพิงเสาตรงกลางนั่นแหละ พิงเอาไว้ นึกภาพนะครับ คนที่ไม่สามารถจับห่วงจับที่ห้อยลงมาจากราวได้ เค้าจะจับอะไร ถ้ามี ผีพิงเสา อยู่แบบนี้ ผมคิดในใจว่า ถ้ารถเบรคแล้วผมจับหูมันเพื่อยึดตัวเอาไว้ มันจะด่าผมมะ อ่ะ ก็ในเมื่อมึงพิงเอาไว้คนเดียว จะให้คนอื่นเกาะตัวมึงเรอะไง ถ้าเกิดผมล้มหรือเซ ไปจับโดน ก้น คนอื่นงี้ มันรับผิดกะผมมะ ว่าผมเซเพราะไม่มีที่เกาะ เพราะมันยืนพิงเอาไว้ จะเอามือแทรกเข้าไประหว่างตัวมันกะเสาก็ยังไงอยู่ ไอ้ครั้นจะยืมติ่งหูมัน มันก็คงไม่ให้ จะไปจับห่วงเดียวกะคนข้าง ๆ มันก็อาจจะคิดว่า ผมคิดเกินเลยกะมัน สรุป ต้องฝึกเล่นวินเซิร์ฟ อาจช่วยการทรงตัวโดยไม่จับอะไรเลยได้ แต่ว่า ถ้ายืนท่าเล่นวินเซิร์ฟ บนรถไฟฟ้าจะเกิดอะไรขึ้น!! นึกภาพตามโดยด่วน มีคนๆ นึง ยืนถ่างขาพอประมาณ ย่อตัวลงนิดหน่อย แล้วกางแขนสองข้างอีกนิด....อืมมมม แม่งบ้า 555 จะไปทำงั้นได้ไง สรุปแล้ว ผีเฝ้าเสา เห็นแก่ตัวกว่า ผีเฝ้าประตูอีกนะผมว่า

3.ประเภทนี้ทรมารในคนแน่นอน...ผีเน่า คือแบบว่า รถไฟฟ้า แอร์เย็นๆ คนแน่นๆ แล้วมีกลิ่นบางอย่าง กระโดดถีบจมูกของคุณอย่างรุนแรง ใช่ครับ กลิ่นตัว บางคนเหม็นแบบกลั้นหายใจนิดๆ หน่อยๆ พอไหว แต่บางคน ขวาตายซ้ายสลบ ไม่ใช่หมัดนะครับ เต่า หรือ สิ่งที่ผมเรียกว่า จุ๊กกุแร้ นั่นเอง เวลาเจอคนแบบนี้ ผมอยากจะแปลงร่างเป็น พี่ ปั๊ป โปเตโต้ แล้วฮัมเพลง ออกมาขับกล่อมผู้โดยสารว่า..."ฉันมันคนโง่ เหนือใครๆ มี รัก แร้ อยู่ ดูแล ไม่ด้ายยยยยย" แทบจะขาดใจกันเลยทีเดียว แล้วถ้ารถแน่นไม่สามารถขยับหนีได้ คุณคิดดูสิครับ ทรม๊านนนน ทรมาร จะกลั้นหายใจ จนกว่าจะถึง ก็คงไปหายมบาลก่อน แต่ถ้าหายใจเต็มที่ อาจะไปหายมบาลแบบเร็วกว่า ลำบากใจครับ วิธีแก้ปัญหาของผมคือ พยายามหันไปทางอื่น ถ้าหันไม่ได้ ก็กลั้นหายใจ ใช้อากาศให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น หันเฉพาะหน้าไปสูดอากาศเต็มที่แล้วทำเหมือนดำน้ำ เอาตัวรอดมาได้ อิอิอิ

พอเท่านี้ก่อนดีกว่า คราวหน้าเจออะไรใหม่ๆ จะเอามาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ ส่วนท่าน เขียดผู้มีแกก ที่เข้ามาอ่านหรือ พลัดหลง หรือถูกบังคับให้อ่านทั้งหลาย ถ้ามีประสบการณ์ ก็แชร์กันได้เลยครับ ยินดีครับ อิอิ

รูปประกอบไม่มี เอาไว้แก้ผ้า เอ้ย แก้ตัว คราวหน้าละกันนะครับ :)

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ผมรัก "พ่อหลวง" ของผม จากคนไม่เอาไหน

สวัสดีครับ เพื่อนๆ วันนี้กระผมขออาจเอื้อมเขียนถึงประเด็นการเมืองสักหน่อยเนื่องจากมองไปทางไหนตอนนี้ เห็นแต่ความน่า หดจู๋ เอ้ย หดหู่ทั้งสิ้น ผมขอเตือนตั้งแต่ย่อหน้าแรกเลยว่า ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ที่ไม่พร้อมจะรับฟังอีกแง่นึงจากคนอื่น ไม่ต้องอ่านต่อ แต่ถ้าคุณพร้อม ก็ลองดูครับ

ไม่เข้าใจครับว่าบ้านเมือง และคนไทยที่รักกันเป็นอะไรกันไปหมด ผมออกตัวไว้ก่อนเลยครับว่าไม่ใช่ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง จริงอยู่ผมเป็นคนธรรมดาๆ คนนึง ที่แทบไม่เคยจะทำอะไรให้เข้าเค้าของฮีโร่เมืองไทย ไม่ได้จบรัฐศาสตร์ ไม่ใช่นักวิชาการ ผมเขียนขึ้นในฐานะ คนธรรมดาปอนด์ ๆ ที่มีรายได้ พออยู่พอกินคนนึง ค่อนข้างไม่ค่อยจะเอาไหนด้วยซ้ำ

ณ ตอนนี้ผมขอเขียนถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน คือม๊อบเสื้อแดงที่ยังคงประท้วงกันอยู่ทุกวี่วันด้วยวิธีการแปลกๆ นะที่ผมต้องขอออกความเห็นส่วนตัวตรงๆ ว่าหลายครั้งที่ผมมองวิธีการเหล่านี้ว่าปัญญาอ่อน ผมทำงานออนไลน์ครับ มีโอกาสเห็นข้อความรูปภาพและเรื่องราวต่างๆ ผ่าน internetมากที่สุด ซึ่งอาจจะทำให้โลกของผมแคบก็ได้นะ แต่ว่า มันจะแคบกว่าคุณจริงหรือ ในเมื่อคุณก็แค่อ่าน และ ฟัง ต่อๆ มาทั้งนั้น หรือว่าคุณรู้จักสนิทชิดเชื้อกับแกนนำ หรือทักกี้ ถ้าไม่ ผมถือว่าโลกเรามันเท่ากัน แค่เราอาจจะมองกันคนละมุม

ข้อความและเรื่องราวต่างๆ ที่ผมได้รับมากมาย ผมบอกตามตรงเลยว่า ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ เอาจิตสำนึกไปฝังไว้ในรูขี้ของใครหมด สีไหนผมก็ไม่สนับสนุนทั้งนั้น ถ้ารู้จักกับผมจริงๆ จะรู้ว่าตอนเสื้อเหลืองทำ ผมด่าเหมือนๆ กัน แต่ตอนนี้คนที่เคยด่าเสื้อเหลือง บางพวก กลับทำทุกๆ อย่างที่ตัวเองเคยชี้หน้าด่าเค้าเอาไว้ แถมหนักกว่าด้วย เพื่ออะไรครับ คนเดินเหยียบขี้เข้าบ้าน คุณต้องเหยียบขี้มาเหยียบบ้านคุณบ้างหรือไง

จะสีไหน รัฐบาลไม่ถูกใจคุณ คุณก็ประท้วง เมื่อไหร่จะจบครับ ปัญหาคืออะไร? สำหรับผม นักการเมืองนั่นแหละ ผมโทษแม่งเหมือนโทษแก๊ซโซฮอลล์ มีอะไรไหม เพราะคนพวกนี้เอาแต่จะกอบโกยเข้าตัว ไม่ใช่พวกกู กูไม่มอง ถีบแม่งให้ตกเก้าอี้ เอาพวกกูมาอยู่แทน นี่ใช่ไหมล่ะมันถึงได้วุ่นวายกันนัก

การเมืองจะประท้วงอะไรกันแค่ไหน ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยสนใจนะ เพราะผมมองเรื่องนี้แบบเบื่อเต็มทน แต่ที่ผมรับไม่ได้คือ มีบุคคลบางกลุ่ม จาบจ้วง ถึง "พ่อ" ของคนไทย บุคคลกลุ่มนี้ใช้ชื่อหลายๆ แบบ ยกตัวอย่างเช่น นปช.ยูเอสเอ และโพสถ้อยคำจาบจ้วง บ้างก็บอกว่า "ถ้าเสื้อแดงตาย ท่านต้องรับผิดชอบ" บ้างก็บอกว่า "ทำไมพฤษภาทมิฬไม่ออกมา มีคนตายก่อนค่อยออกมา" งั้นผมถามหน่อย ทำไมไม่ให้ ทักกี้ รับผิดชอบในเมื่อมึงก็ดิ้นกันจะตายๆ เพื่อมันไม่ใช่เหรอ แล้วพฤษภาทมิฬ มึงขุดมาหาพ่องหรอ ถ้าท่านออกมาก็บอกว่าควบคุมไม่เป็นประชาธิปไตย พอออกมาช้าก็บอกว่าปล่อยให้มีคนตายถึงออกมา พวกมึงบ้ารึป่าว

ผมนี่แหละ เคยลงคะแนนเลือกทักกี้ แล้วทุกวันนี้ผมเกลียดมันยิ่งกว่าขี้ ไม่ใช่เพราะฟังไอ่เจ๊กลิ้ม แต่ผมมองและคิดด้วยมุมมองของผมเอง ที่เสื้อแดงหลายคนว่า ปิดหูปิดตานั่นแหละ ถ้าปิดหูปิดตาจริง มาเปิดให้สิ มาบอกกันสิครับว่าทุกวันนี้คุณทำเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อทักกี้ อธิบายมาสิครับว่าพวกที่จาบจ้วงท่าน ไม่ใช่พวกคุณ คุณก็ลากคอออกมาบอกเลยสิครับ ว่านี่"แดงปลอม" เหมือนที่ จับทหาร จับคนมีพิรุธ มาบอกว่าแดงปลอม ทำไมแบบนั้นทำได้ แล้วพวกนี้ทำไม่ได้หรือ หรือเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้ว มันไม่ปลอม!!

คนที่จาบจ้วงสำหรับผม ผมมองว่า ไร้จิตสำนึก ครับ เพราะถึงจะไม่ได้เคารพรักท่าน อย่างที่คนอื่นรัก ก็ไม่จำเป็นต้องทำลาย ด่ากราด ขนาดนี้ เพื่อคนๆ เดียวที่ให้เงินพวกคุณ คุณยอมด่า "พ่อ" ด่าผู้มีพระคุณ ได้ ไม่เรียกว่า ว่าไร้จิตสำนึก จะให้เรียกว่าอะไร??? หรือเพราะคุณไม่ได้เงินจากโครงการแก้มลิง,ฝนหลวง???

ปัจจุบัน พ่อหลวงของเรา อายุเท่าไหร่แล้วครับ ตั้งแต่ผมเกิดมา ร่วม 30 ปี ผมเห็นแต่ท่านทรงงาน เพื่อประชาชน คนที่ว่าท่านกอบโกย รวยอย่างนั้นอย่างนี้เห็นแก่ตัวอย่างนั้นอย่างนี้ เศรษฐีเมืองไทย ไปนอนเล่นมัลดีฟกันแล้วครับ ไปเที่ยวต่างประเทศ ทัวร์แม่งรอบโลก เป็นเดือนๆ เคยเห็นท่านทำแบบนี้ไหม? ท่านอยู่อย่างพอเพียง ทำเพื่อพวกเรามาตลอดกี่สิบปีแล้ว คุณจะเอาอะไรกับท่านอีก พวกคุณอยากกระเษียณ ตอนอายุเท่าไหร่? แล้วถ้าเป็นคุณ มีเงิน มีอำนาจ จะทำงานทุกวันอย่างที่ท่านทำไหม?

ถ้าไม่รักก็อย่าทำลาย ไม่ได้รักท่าน ไม่ได้เทิดทูน คุณก็อยู่ของคุณ อย่ามาทำลาย ดวงใจ ความศรัทธา ที่คนอื่นๆ เค้ามี ผมยินดีที่จะเกิดเป็นข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทท่าน มีอะไรไหม คุณไม่อยากเป็นก็ไม่ต้องเป็น ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ที่มาอ่าน แล้วคุณคิดว่า คุณเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่ได้คิดจาบจ้วงทรยศพระองค์ ได้โปรด บอกพวกพ้องของคุณ ให้หาตัวคนทำแล้วลากคอมันออกมาบอกว่า มันไม่ใช่พวกคุณ มันแค่อาศัยชื่อพวกคุณป่วนเมือง แต่ถ้าคุณคิดดูหมิ่นพระองค์จริง เกลียดเจ้าของบ้าน อย่าอยู่บ้านเขาเลยครับ ส่วนประเด็นที่ว่า ไพร่ อำมาตย์ หรืออะไร ผมไม่เคยได้รับ คำอธิบายที่ชัดเจนเลยสักครั้งว่า ใคร เป็นคนคิดว่าเสื้อแดงเป็นไพร่? อำมาตย์คืออะไร? แล้วทำลายประเทศอย่างไร?

ผมเชื่อว่า ไม่ใช่เสื้อแดงทุกคน ที่คิดแบบนั้น เชื่อว่า เสื้อแดงบางคนมาด้วยหัวใจ ที่เชื่อในความเป็นประชาธิปไตย และต้องการเรียกร้องอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ เพียงแต่เขาถูกคนบางพวก หลอกใช้ และหลอกให้เชื่อว่า "อุดมการณ์เดียวกัน" ผมเชื่อว่า เสื้อแดง หลายๆ คนที่อยู่ในขบวนประท้วง จะเลิกเข้าร่วม ถ้าเขารู้ ว่ามีคนจาบจ้วงถึง "พ่อ" ของเขา ผมอยากให้พวกเสื้อแดง แยกให้ออก ประท้วงเพื่อจุดยืนประชาธิปไตย หรือประท้วงเพื่อใครบางคนที่หนีคดี

และผมเชื่อว่าไม่ว่าคนไทยวันนี้จะใส่เสื้อสีอะไร ก็ยังคงรักและภักดีต่อ พระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่คนบางพวกที่พยายามทำให้มันดูเหมือน ไม่เป็นอย่างนั้น สำหรับผม ไม่ว่าคนเสื้อแดงจะมาจากจังหวัดไหน ภาคไหน ก็คือคนไทย เขาจะจบการศึกษาระดับไหนไม่สำคัญ ถ้าเขารักประเทศชาติจริง เพราะสรุปแล้ว "ไร้การศึกษา ไม่น่ากลัวเท่ากับการไร้จิตสำนึก"


ปล. ไม่ต้องถามถึงตัวอย่าง คุณหาเองได้ ถ้าคุณเล่นเน็ตจนอ่าน blog แปลว่าคุณ ก็คงอยู่ในโลกแบบเดียวกับผม และผมไม่ใช่อาจารย์ ไม่ใช่นักวิจารณ์ คุณจะว่า ผมโง่ ไม่รู้ไม่ทันโลกก็ไม่เป็นไร เพราะผมไม่ได้เขียนเอาโล่ห์ ไม่ได้สั่งสอนใคร ผมเขียนจากความรู้สึกผม ไม่ได้จากแรงเงินของใคร ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อุบัติเหตุทางท้องถนน คร่าชีวิตและทรัพย์สิน จากความประมาทของคนไม่กี่คน

สวัสดีครับ หายหน้าหายตาไปนานไม่ได้เข้ามาอัพเดท blog เลย เนื่องจากว่า กระผมประสบปัญหาร่ำรวยทางการงาน แต่ยากจนทางการเงิน 555 พูดง่ายๆ ว่างานท่วมกระบาลนั่นเองครับพี่น้อง ว่าจะกลับมาเขียนก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกครั้ง และมันเป็นครั้งที่ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ จับใจนะ ไม่จับนมข้างซ้าย

เรื่องของเรื่องคือ ป๊ากับม๊า ของกระผม หรือที่เคยแนะนำกันใน blog ในนามของ เจ๊กุ๊งกิ๊งและสามี แอบหนีลูกๆ ไปเที่ยว นั่งรถทัวร์ไปกันตามลำบาก ทั้งสองเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อถึงบริเวณ จ.สระแก้ว ได้มี มอเตอร์ไซด์คันหนึ่งตัดหน้ารถทัวร์ที่บุพการีกระผมประทับอยู่ ทำให้คนขับรถตกใจ หักหลบกระทันหัน รถทัวร์คันใหญ่เบิ้ม พุ่งข้ามเกาะกลางถนน แล้วตกลงไปข้างทาง ป๊ากับม๊าเล่าว่าทุกอย่าง กลิ้งตลบมั่วไปหมด เจ๊กุ๊งกิ๊งเกาะเบาะรถพร้อมกับพยายามเซฟหัวตัวเอง ส่วนป๊า พยายามจับเจ๊กุ๊งกิ๊งเอาไว้ แต่ไม่อยู่!! ป๊ะป๋า ถูกแรงกระชากจากการกระแทกของรถ หลุดไป ทุกอย่างน่ากลัวมาก เสียงผู้คนกรีดร้อง ดังไปทั่ว รถก็หมุนกลิ้งหลายตลบและในที่สุดก็หยุดลง ทั้งสองปลิวไปคนละทาง พ่อผมบาดเจ็บ ที่หัวมีแผลถลอก ฟกช้ำ ขาเจ็บ รีบลุกขึ้นมาวิ่งตามหาเจ๊กุ๊งกิ๊งที่ซากรถ

พ่อเล่าว่า ร้องตะโกนเรียก ตอนนั้นนึกว่าได้โอกาสหาภรรยาใหม่แล้ว 555 ในเวลาเดียวกัน เจ๊กุ๊งกิ๊งรู้สึกว่า ตัวเองขยับไม่ได้แกติดอยู่ใต้เบาะนั่งของตัวเอง และบนเบาะก็มีผู้หญิงคนนึงถูกบางส่วนของซากรถ ทับครึ่งตัว อยู่บนเบาะที่ครอบเจ๊กุ๊งกิ๊งเอาไว้อีกที เจ๊กุ๊งกิ๊งถาม อาแปะคนนึงที่กระเด็นมาอยู่ใกล้ๆ ว่า "เฮีย ลื้อเป็นไรไหม" อาแปะคนนั้นตอบว่า "ไม่เป็นไร" สักพัก เจ๊กุ๊งกิ๊งได้ยินเสียงโหวกเหวก ของหน่วยกู้ภัยว่า "เห้ย อาเฮียคนนี้ตายแล้วๆ" เจ๊กุ๊งกิ๊งตกใจ เพราะยังไม่รู้ว่า แฟนเจ๊(พ่อผม) จะเป็นหรือตาย แกร้องไห้ เรียกหา ทำให้ พ่อผมที่วิ่งหาอยู่ได้ยินเสียง เลยหา เจ๊กุ๊งกิ๊งเจอ

พ่อบอกให้เจ๊กุ๊งกิ๊งออกมาจากใต้เบาะ แต่เจ๊กุ๊งกิ๊งเล่าว่า ตอนนั้นรู้ตัวแล้วว่าขาหัก เลยบอกกับพ่อว่า ออกไม่ได้ ขาคงหักแล้ว ต่อมาถึงรู้ว่า อาแปะที่คุยกะเจ๊กุ๊งกิ๊งเสียชีวิต เพราะคอหัก สรุปเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้โดยสารเสียชีวิต 2 คน และ 1 คนสูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง นอกนั้น ต่างบาดเจ็บทุกคน

กว่าผมจะรู้ข่าว ก็ปาเข้าไป 4 โมงเย็นแล้ว ผมยอมรับว่ากลัว กลัวจะสูญเสียพ่อแม่ไป รู้สึกว่า มันเฉียด และอยากกระโดดถีบคนขี่มอเตอร์ไซด์คันนั้นด้วย 2 ขาคู่สัก 100 ที ถ้าพ่อแม่ผมเป็นอะไรไป ชีวิตมันยังไม่พอเลย แค่ความประมาทของเค้า ทำให้พ่อแม่ผมต้องบาดเจ็บ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคย เจ๊กุ๊งกิ๊งเป็นแผลใหญ่ขนาดนี้ ครั้งนี้ ม๊าสะโพกด้านซ้ายหัก เท้าด้านขวา เนื้อเปิดถึงกระดูก พ่อตัดสินใจย้าย เจ๊กุ๊งกิ๊งมาผ่าตัดที่กรุงเทพฯ พวกผมรออยู่ที่บ้าน เพราะแกยื่นคำขาดว่าห้ามขับรถตามไปเด็ดขาด เพราะอาจจะสวนกัน และถนนมืดมาก

เจ๊กุ๊งกิ๊งมาถึงกรุงเทพฯ ในอีกวันถัดมา เวลาประมาณ 6 โมงเย็น เข้าห้องผ่าตัดเช้าวันถัดมา ใช้เวลาผ่าตัดใส่เหล็กขันน๊อต ทั้งหมด 4 ชั่วโมง แผลที่สะโพกยาวประมาณ 11 นิ้วครับ เกือบฟุต เชียวนะ!! สงสารเขามาก เจ๊กุ๊งกิ๊งผิวบาง เจ็บง่าย ช้ำง่าย แต่มาคราวนี้ ต้องผ่าตัด ต้องเย็บหลายเข็มทั้งที่สะโพกและเท้า คงจะทรมานสุดๆ ผมนอนเฝ้าแกอยู่ที่โรงพยาบาล สลับกับ พ่อ และน้อง แกไม่สามารถ ยันตัวลุกขึ้นนั่งเองได้ เพราะฉะนั้น ต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดตัว พยุงขึ้นนั่ง คอยขยับขาให้ ในที่สุดหลังจากผ่านไป 6 วัน เราก็พา เจ๊กุ๊งกิ๊งกลับบ้าน ถึงตอนนี้ เจ๊สามารถ ยันตัวขึ้นนั่งเองได้ แต่ยังลุกเองไม่ได้ และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่านั้น ผมจึงขออนุญาตบอสเป็นกรณีพิเศษ ที่จะทำงานอยู่บ้านบ้างบางวัน เพื่อดูแล เจ๊แก และบอสผมใจดี อนุญาตครับ :)

จนถึงวันนี้ ผ่านไปครึ่งเดือน เจ๊กุ๊งกิ๊ง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น แต่ยังลุกยืนไม่ได้ ต้องมีคนช่วยพยุงมาจับอุปกรณ์ช่วยเดิน ผมเรียกไม่ถูกว่าคืออะไร แต่เอาเป็นว่ามันช่วยเจ๊แกเดินได้นิดๆ หน่อยๆ สภาพจิตใจดีขึ้น แผลผ่าตัดแห้งแล้ว

ผลประโยชน์ที่ได้คือ... กระเช้าครับ กระเช้า เต็มบ้าน แบรนด์ซุปไก่เป็นร้อย รังนกเป็นร้อย และนมสด เป็นร้อย.... จะบ้าครับ

ระหว่างที่เจ๊เจ็บผมได้เรียนรู้คือ...งานบ้านยาก ทำกับข้าวยาก ซักผ้าไม่ยากเพราะเครื่องช่วยเราได้ แต่...รีดผ้ายากมาก ต่อไปจะช่วยเจ๊กุ๊งกิ๊งทำ ถึงจะทำไม่ค่อยเป็น :)

และผลประโยชน์ที่ได้จากความประมาท คือ... เสียชีวิต ทรัพย์สิน ผู้อื่นเดือดร้อน รู้อย่างนี้แล้ว เด็กแว๊นท์ทั้งหลายจงระวัง เพราะผมได้ข่าวว่า ไอ้คนขี่มอเตอร์ไซด์นั่นนิ้วขาด 4 นิ้ว ไม่รู้ผมควรจะสงสารหรือสมน้ำหน้าเค้าดี

อยากจะเอารูปแผลผ่าตัดกับแผลที่เท้าของแม่ให้ดู แต่กลัวจะรับไม่ได้กันซะ อย่าดีกว่าครับ :)